การใช้ดารามาเป็นพรีเซ็นเตอร์กับธุรกิจอสังหาฯเพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภค

การเลือกใช้บุคคลมาสร้างแบรนด์ให้กับสินค้าและบริการไม่ได้จำกัดอยู่แค่ดาราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนดังเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป การเลือกใช้บุคคลเป็นตัวแทนให้กับแบรนด์ย่อมมีทั้งคุณและโทษ หากยึดถือกับตัว Endorsers มากเกินไปจะมีความเสี่ยงมาก โดยกลไกลการเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์จึงต้องคำนึงถึงเรื่องของการบริหารแบรนด์เป็นสำคัญ กลยุทธ์ดังกล่าวทำให้แบรนด์สามารถสร้างการรับรู้ต่อตัวผู้บริโภคได้ต่อเนื่อง ใครดังก็มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ แบรนด์ไม่ต้องไปขึ้นกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่แบรนด์ไหนจะเลือกทำเช่นนี้ได้ ต้องเป็นสินค้าระดับ Mass ที่มีงบการตลาดมากพอ

การเลือกพรีเซ็นเตอร์จึงจำเป็นที่จะต้องเลือกให้เหมาะสมกับตัวสินค้า

ส่วนที่มีความแตกต่าง คือ รูปแบบ วิธีการ ของเรื่องราวที่จะนำเสนอ ซึ่งขึ้นอยู่กับคอนเซ็ปต์ของเจ้าของสินค้าแต่ละรายวงการอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน ช่วงหลังผู้ประกอบการหันมาใช้บริการพรีเซ็นเตอร์ดึงดูดใจผู้บริโภคกันมากขึ้น เป้าหมายก็เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวสินค้า และผลักดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้า เพราะมองว่าพรีเซ็นเตอร์คือหนึ่งในเครื่องมือที่จะสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ง่ายที่สุด เนื่องจากพรีเซ็นเตอร์มีส่วนมากๆต่องานขาย หากคุณต้องการกระตุ้นความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย มันเหมือนกับว่าแทนที่จะไปเสนอขายบ้านกับลูกค้าตรงๆ เราก็ให้เขารู้จักสินค้าเราผ่านพรีเซ็นเตอร์แทน วิธีการนี้จะทำให้เขาเข้าใจได้ง่ายขึ้น

กลยุทธ์การตลาดในลักษณะนี้สำหรับธุรกิจอสังหาฯแล้วไม่ได้เป็นสูตรตายตัวที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการขาย เนื่องจากสินค้าประเภทบ้านเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงซื้อขายเปลี่ยนมือได้ยาก ต่างไปจากสินค้าที่ขายอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ดังนั้น การเลือกบุคคลที่จะมาเป็นตัวแทนจำเป็นต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน และไม่สามารถเปลี่ยนได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ ที่สำคัญวิธีการแบบนี้เมื่อนำมาใช้กับธุรกิจอสังหาฯจะช่วยได้แค่การกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคเท่านั้น ซึ่งการวางแผนมีเดียเป็นอีกกลไกที่สร้างความรับรู้ให้กับผู้บริโภคได้ วิธีนี้จะสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น ละครและโฆษณาจะช่วยซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน สร้างแรงกระตุ้นให้กับคนดูอยากใช้สินค้าโดยไม่สิ้นเปลืองงบแบบหว่านไปทั่ว

การพิจารณาเลือกใช้บุคคลสร้างแบรนด์อสังหาริมทรัพย์

1.คนดัง เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย หรือสินค้าหรือไม่
2.ต้นทุนหรืองบประมาณ มากพอจะใช้คนดังหรือไม่ เพราะดาราบางคนค่าตัว 5-10 ล้านบาท
3.ความง่ายและยากในการใช้ ต้องไม่มีบุคลิกคุยด้วยยากหรือเงียบเกินไปก็อาจส่งผลกระทบได้ เพราะการใช้พรีเซ็นเตอร์ยุคนี้ให้ได้ผลจะต้องร่วมออกงานอีเวนต์ด้วย แม้ส่วนใหญ่จะมีการเซ็นสัญญาครอบคลุมเรื่องเหล่านี้ก็ตาม แต่หากดาราบุคลิกที่ยากต่อการใช้งานก็จะส่งผลกระทบต่อสินค้าได้
4.ช้ำหรือยัง ต้องไม่เห็นจนน่าเบื่อ
5.ชีวิตความเป็นอยู่ เช่น มีแนวโน้มจะเสพยาเสพติดหรือไม่ เปลี่ยนคนรักบ่อย มีปัญหาในการวางตัว
6.ความน่าเชื่อถือ